เมนู
เมนู

บทบาทและหน้าที่ธาตุอาหารพืช

ธาตุไหนเร่งโต ธาตุไหนเร่งดอกเร่งผล ที่นี่มีคำตอบ

            ธาตุอาหารของพืชเทียบง่าย ๆ ก็คล้าย ๆ กับอาหาร 5 หมู่สำหรับคน ถ้าขาดธาตุใดไปก็อาจทำให้เกิดปัญหา และเราสามารถแก้ไขได้ด้วยการให้ธาตุนั้นแก่พืช โดยธาตุอาหารจำเป็นสำหรับพืชมี 16 ธาตุ แบ่งเป็นสองกลุ่ม ดังนี้

1.มหธาตุ (Macronutrient Elements) มี 9 ธาตุ

1.1 ธาตุที่พืชต้องการมาก และสามารถได้รับจากน้ำ และอากาศ คือ คาร์บอน (C) ออกซิเจน(O) ไฮโดรเจน (H)

1.2 ธาตุหลักที่พืชต้องการมาก และในดินมีอยู่น้อย เราต้องใส่ปุ๋ยเพิ่มให้ คือ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K)

1.3 ธาตุที่พืชต้องการรองจากธาตุหลัก และในดินมีอยู่พอสมควร แต่ควรระวังหากเพาะปลูกนานเกิน 3 ปี ควรใส่ปุ๋ยเพิ่ม คือ แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) และกำมะถัน (S)

2.จุลธาตุหรือธาตุเสริม (Micronutrient Elements)

คือธาตุที่พืชต้องการน้อย และในดินก็มีอยู่น้อย มี 7 ธาตุ ดังนี้ เหล็ก (Fe) แมงกานีส (Mn) โบรอน (B) โมลิบดินัม (Mo) ทองแดง (Cu) สังกะสี (Zn) และคลอรีน (Cl)

 

หน้าที่ของแต่ละธาตุอาหาร

ธาตุ บทบาทและหน้าที่
ไนโตรเจน (N) – เร่งการเจริญเติบโตและความแข็งแรงของพืช

– เพิ่มปริมาณโปรตีนให้แก่พืช

– ช่วยให้พืชมีสีเขียวเร่งการเจริญเติบโตทางใบและลำต้น

ฟอสฟอรัส (P) – เร่งการเจริญเติบโตของรากพืช

– ช่วยเร่งการสุกแก่ของพืชให้เร็วขึ้น

– เร่งดอกเร่งผล และการสร้างเมล็ดพืช

– เพิ่มความต้านทานต่อโรคพืช

โพแทสเซียม (K) – ช่วยสังเคราะห์แป้งและน้ำตาลในพืช

– ช่วยเคลื่อนย้ายแป้งและน้ำตาลจากใบไปสู่ผลและพืชหัว

– ช่วยเร่งผลและช่วยให้มีรสชาติดี

– ช่วยให้พืชแข็งแรงต้านทานต่อโรคและแมลง

– ควบคุมระบบหายใจและการปิดเปิดปากใบของพืช

แคลเซียม (Ca) – เป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์พืชและจำเป็นต่อการแบ่งเซลล์พืช

– ทำงานร่วมกับธาตุโบรอนในการช่วยผสมเกสรของพืช

– ช่วยเร่งราก และเร่งใบของพืชได้ดี และเร็ว

– ช่วยในการเคลื่อนย้ายแป้ง น้ำตาล และโปรตีนในพืช

แมกนีเซียม (Mg) – เป็นองค์ประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ (สีเขียว) ในพืช

– ช่วยสร้างโปรตีน ไขมัน วิตามิน และน้ำตาลในพืช

– ส่งเสริมการนำธาตุฟอสฟอรัสไปสู่ลำต้น

– ทำให้สภาพกรดด่างในเซลล์เหมาะสม

กำมะถัน (S) – สร้างกรดอะมิโน โปรตีน และวิตตามินบีในพืช

– ช่วยสร้างสี กลิ่น และน้ำมันในพืช

– ช่วยในการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์

เหล็ก (Fe) – ช่วยในการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์

– มีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการสังเคราะห์แสงและการหายใจในพืชให้เป็นไปอย่างสมบูรณ์

แมงกานีส (Mn) – ช่วยการสังเคราะห์แสงในใบพืช

– กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ (Enzyme) ในต้นพืช

โบรอน (B) – ส่งเสริมการเร่งดอกในพืช

– ช่วยในการผสมเกสรและการติดผล

– ช่วยให้พืชใช้ประโยชน์จากไนโตรเจนและแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น

– ช่วยในการเคลื่อนย้ายฮอร์โมนในพืช

โมลิบดินัม (Mo) – ช่วยพืชสังเคราะห์โปรตีน

– ช่วยให้พืชใช้ประโยชน์จากไนโตรเจนได้ดียิ่งขึ้น

ทองแดง (Cu) – ช่วยในการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์

– กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ (Enzyme)

– เกี่ยวข้องกับกระบวนการหายใจ การใช้โปรตีน และแป้งในพืช

สังกะสี (Zn) – ช่วยสร้างคลอโรฟิลล์และแป้ง

– ช่วยสร้างฮอร์โมนออกซิเจน ทำให้ข้อปล้องของพืชมีขนาดสมบูรณ์

คลอรีน (Cl) – ช่วยสร้างฮอร์โมนบางชนิดในพืช

– ช่วยเพิ่มความสุกแก่ให้กับพืชเร็วขึ้น

 

นอกจากธาตุในตารางด้านบนแล้ว ยังพบว่ามีธาตุบางธาตุที่มีผลทำให้เกิดการเร่งผลผลิตของพืชบางชนิดดีขึ้น (ซึ่งอาจารย์ยงยุทธ โอสถสภา ได้ให้คำจำกัดความว่า “ธาตุเสริมประโยชน์”) ในที่นี้จะบอกเพียง 2 ธาตุ คือ

1. ซิลิกอน (Si)

– ช่วยทำให้พืชต้านทานโรค ต้นไม่หักล้มง่าย

– เพิ่มผลผลิตในข้าว

 

 

2.โซเดียม (Na)

– ทำหน้าที่แทนโพแทสเซียม (K) ได้บางส่วน

-ไนโตรเจน (N) ความเป็นประโยชน์ลดลง ที่ pH น้อยกว่า 5.5

-ฟอสฟอรัส (P) อาจถูกตรึงโดย เหล็ก (Fe) อลูมีเนียม (Al) หรือแมงกานีส (Mn) ที่ pH ต่ำหรือสูง

-โพแทสเซียม (K) แสดงอาการขาดที่ค่า pH ต่ำ

-แมกนีเซียม (Mg) และแคลเซียม (Ca) อาจขาดแคลนที่ pH ต่ำและสูงมาก

-กำมะถัน (S) บางส่วนเป็นประโยชน์ลดลงที่ pH ต่ำ แต่แบคทีเรียยังคงเจริญเติบโตได้ดี

-โบรอน (B) ขาดแคลนเมื่อ pH สูง และเป็นพิษเมื่อ pH ต่ำมาก ๆ

-ทองแดง (Cu) และ สังกะสี (Zn) บางทีเป็นพิษที่ pH ต่ำมาก ๆ และขาขดแคลนที่ pH สูงมาก ๆ

-โมลิบดินัม (Mo) คล้าย ๆ โพแทสเซียม (K)

-เหล็ก (Fe) และแมงกานีส (Mn) คล้าย ๆ ทองแดง (Cu) สังกะสี (Zn)

-อลูมีเนียม (Al) pH 5.5 จะปลอดภัยจากการเป็นพิษจากอลูมีเนียม

-ฟังไจ (Fungi) pH ช่วง 4-10 ไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตของรา

-แบคทีเรีย และแอคติโนมัยซีส (Bacteria และ actinomycetes) ประชากรลดลงที่ pH ต่ำ

 

ปัจจัยที่ต้องระวัง เนื่องจากผลกระทบจากความเป็นกรดด่างของดิน (Soil pH)

ปัจจัย ผลกระทบ
ความเป็นพิษของอลูมินัม ความเป็นพิษของอลูมินัม ลดลงเมือความเป็นกรดด่างของดินเพิ่มขึ้น
ความเป็นประโยชน์ของฟอสฟอรัส ความเป็นประโยชน์ของฟอสฟอรัสสูงที่ความเป็นกรดด่างของดิน (pH) 5.5-7.0
ความเป็นประโยชน์ของธาตุเสริม ที่ความเป็นกรดด่าง(pH) 5.5-6.0 ธาตุเสริมเป็นประโยชน์ได้สูง ยกเว้นโมลิบดินัม(Mo) (แมงกานีสและเหล็กเป็นพิษน้อยใน pH 5.5-6.0)
ความสามารถในการแลกเปลี่ยนของธาตุประจุบวก เช่น แคลเซียม(Ca) แมกนีเซียม(Mg) โพแทสเซียม(K) สภาพของดินที่มีความเป็นกรดด่าง (pH) สูงทำให้ความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจุของธาตุประจุบวกได้สูง นั่นคือทำให้ดินมีความสามารถในการเก็บรักษาธาตุแคลเซียม(Ca) แมกนีเซียม(Mg) โพแทสเซียม(K) ไว้ได้ก่อนที่จะสูญเสียไปกับกระบวนการชะล้าง
กระบวนการปลดปล่อยไนโตรเจน(N) รูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืชจากสารอินทรีย์ กระบวนการปลดปล่อยไนโตรเจนมาอยู่ในรูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืชจากสารอินทรีย์ได้ดีที่สุดที่ความเป็นกรดด่าง (pH) ของดินที่ 5.5-6.5
การตรึงไนโตรเจนจากอากาศ การตรึงไนโตรเจนจากปมรากถั่วได้น้อยที่ความเป็นกรดด่าง (pH) ของดินน้อยกว่า 5
การเกิดโรคพืช โรคพืชบางชนิดสามารถควบคุมได้โดยการจัดการความเป็นกรดด่าง(pH) ของดิน เช่น อัตราการเกิดสะเก็ดที่ผิวในมันฝรั่งลดลงเมื่อความเป็นกรดเพิ่มขึ้น
การละลายตัวเองของหินฟอสเฟต ความเป็นกรดด่าง(pH)ของดิน ต้องน้อยกว่า 5.5 หินฟอสเฟตจึงจะละลายและปลดปล่อยฟอสฟอรัสมาให้พืชดูดซับไปใช้ได้

จาก Table 2-2 หน้า 41 Soil Fertility Kit

 

ถ้าพืชขาดธาตุอาหาร พืชจะแสดงออกมาทางใบเราจะสังเกตุเห็นได้ ดังนี้

ธาตุอาหารพืช ตำแหน่งที่ปรากฎในใบพืช ใบซีดจางหรือไม่ ขอบใบแห้งหรือไม่ สีและรูปร่างใบ
ไนโตรเจน(N) เกิดทั้งใบอ่อนและใบแก่ ใช่ ไม่เป็น สีเหลืองทั้งแผ่นใบ รวมทั้งเส้นใบด้วย
ฟอสฟอรัส(P) เกิดกับใบแก่ ไม่ ไม่เป็น รอยขีดสีม่วงปะที่แผ่นใบ
โพแทสเซียม เกิดกับใบแก่ ใช่ เป็น รอยแต้มสีเหลืองที่แผ่นใบ
แมกนีเซียม เกิดกับใบแก่ ใช่ ไม่เป็น รอยแต้มสีเหลืองที่แผ่นใบ
แคลเซียม เกิดกับใบอ่อน ใช่ ไม่เป็น แผ่นใบบิดเบี้ยวผิดรูปร่าง
กำมะถัน เกิดกับใบอ่อน ใช่ ไม่เป็น ใบอ่อนเป็นสีเหลือง
แมงกานีสและเหล็ก เกิดกับใบอ่อน ใช่ ไม่เป็น สีซีดจางระหว่างเส้นใบ
โบรอน, สังกะสี, ทองแดง, แคลเซียมและโมลิบดินัม  

เกิดกับใบอ่อน

 

 

รูปร่างใบอ่อนบิดเบี้ยวผิดรูปร่าง

จาก Table 3-8 หน้า 93 Soil Fertility Kit

 

การแก้ไขการขาดธาตุอาหารพืช

ไนโตรเจน ควรใส่ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจน โดยมีหลักการดังนี้

– กรณีดินเป็นกรด ควรใช้ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) หรือแอมโมเนียมไนเตรท (34-0-0) หรือแคลเซียมแอมโมเนียมไนเตรท (27-0-0 + 5 MgO + 7 CaO)

– กรณีที่พืชขาดธาตุกำมะถันด้วย ควรใช้แอมโนเนียมซัลเฟต (21-0-0 + 24S)

ฟอสฟอรัส ควรใส่ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารฟอสฟอรัส โดยมีหลักการดังนี้

– กรณีที่พืชขาดธาตุฟอสฟอรัสตัวเดียว ควรใช้ทริปเปิ้ลซุปเปอร์ฟอสเฟต (0-45-0) หรือโมโนแอมโมเนียมฟอสเฟต (11-52-0) หรือไดแอมโมเนียมฟอสเฟต (18-46-0)

– กรณีที่ดินเป็นกรดควรใช้หินฟอสเฟต (0-3-0 + 25 CaO) ซึ่งมีฟอสฟอรัส (P) ที่สามารถละลายได้ในดินกรด (pH ต่ำกว่า 5) ทั้งหมดอีกร้อยละ 20-40 P2O5

โพแทสเซียม ควรใส่ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารโพแทสเซียม โดยมีหลักการดังนี้

– กรณีที่ดินขาดธาตุโพแทสเซียมและพืชประธานไม่มีปัญหาต่อคลอไรด์ ควรใช้โพแทสเซียมคลอไรด์ (0-0-60 + 47 Cl)

– กรณีที่ขาดธาตุโพแทสเซียมและไนโตรเจน โดยที่พืชประธานมีปัญกาต่อครอไรด์ด้วย ควรใช้โพแทสเซียมไนเตรท (13-0-46)

– กรณีที่พืชขาดธาตุโพแทสเซียมและกำมะถัน โดยที่พืชประธานมีปัญหาต่อครอไรด์ด้วย ควรใช้โพแทสเซียมซัลเฟต (0-0-50 + 18S)

แคลเซียม ควรใส่ปุ๋ยหรือสารปรับปรุงดินที่มีธาตุแคลเซียม โดยมีหลักการดังนี้

– กรณีที่ดินเป็นกรดจัดและต้องการใส่ฟอสเฟตด้วย ควรใช้หินฟอสเฟต (0-3-0 + 25 CaO) ซึ่งมีฟอสเฟตทั้งหมดร้อยละ 20-40 P2O5 ที่สามารถละลายออกมาให้พืชใช้ได้ ถ้าความเป็นกรดด่าง (pH) ของดินต่ำกว่า 5

– กรณีที่ดินไม่เป็นกรดจัดและต้องการใส่ฟอสเฟตด้วย ควรใช้ซิงเกิ้ลซุปเปอร์ฟอสเฟต (0-22-0 + 28 CaO + 11 S) หรือทริปเปิ้ลซุปเปอร์ฟอสเฟต (0-46-0 + 12 CaO + 1.5 S)

– กรณีที่ดินเป็นกรดและต้องการใส่แคลเซียมธาตุเดียว ควรใช้ปูนมาร์ล ซึ่งมีแคลเซียมประมาณร้อยละ 30 CaO

– กรณีที่ดินเป็นกรดและพืชขาดแมกนีเซียมด้วย ควรใช้ปูนโดโลไมท์ ซึ่งจะมีแคลเซียมร้อยละ 30 CaO และแมกนีเซียมร้อยละ 20 MgO

แมกนีเซียม ควรใส่ปุ๋ยหรือสารปรับปรุงดินที่มีธาตุแมกนีเซียม โดยมีหลักการดังนี้

– กรณีที่ดินเป็นกรดและพืชมักจะขาดแคลเซียมด้วยการใช้ปูนโดโลไมท์

-กรณีที่ดินไม่เป็นกรดและต้องการใส่กำมะถันด้วย ควรใช้กลีเซอร์ไรด์ซึ่งมีแมกนีเซียมร้อยละ 27 MgO และกำมะถันร้อยละ 22 S

– กรณีที่ดินไม่เป็นกรดรวมทั้งต้องการใส่โพแทสเซียมและกำมะถันให้กับพืชด้วย ควรใช้แลงไบไนท์ ซึ่งมีแมกนีเซียมร้อยละ 18 MgO กำมะถันร้อยละ 22 S และโพแทสเซียมร้อยละ 22 K2O

กำมะถัน ควรใส่ปุ๋ยหรือสารปรับปรุงดินที่มีธาตุอาหารกำมะถัน โดยมีหลักการดังนี้

– กรณีที่เราต้องการใส่ธาตุไนโตรเจนด้วย ควรใช้แอมโมเนียมซัลเฟตซึ่งมีธาตุอาหารไนโตรเจนร้อยละ 21 N และกำมะถันร้อยละ 24 S

– กรณีที่เราต้องการใส่ธาตุโพแทสเซียมด้วย ควรใช้โพแทสเซียมซัลเฟตซึ่งมีธาตุอาหารโพแทสเซียมร้อยละ 50 K2O และกำมะถันร้อยละ 18 S

– กรณีที่เราต้องการใส่ธาตุแมกนีเซียมด้วย ควรใช้กลีเซอร์ไรด์ซึ่งมีธาตุอาหารแมกนีเซียมร้อยละ 27 MgO และกำมะถันร้อยละ 22 S

 

– กรณีที่เราต้องการใส่ธาตุแคลเซียมด้วย ควรใช้ยิปซั่มซึ่งมีธาตุแคลเซียมร้อยละ 22-30 CaO และกำมะถันร้อยละ 13-16 S

ธาตุเสริม ปกติพืชจะต้องการน้อย และถ้ามีการจัดการการปลูกที่ดีมักจะไม่แสดงอาการขาด การแก้ไขปัญหาการขาดธาตุเสริม นิยมใช้ธาตุเสริมในรูปคีเลตฉีดพ่นทางใบและปรับปรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์สูงโดยเพิ่มอินทรีย์วัตถุผ่านการใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมัก

 

ความเป็นพิษของธาตุอาหารต่อพืช

            สาเหตุมี 3 ประการ คือ

  1. ดินเป็นกรดจัด ซึ่งจะทำให้ธาตุโลหะหลัก เช่น เหล็ก แมงกานีสและอลูมิเนียมละลายออกมามากจนถึงระดับเป็นพิษต่อพืช
  2. ดินเค็ม ซึ่งจะมีโซเดียม (Na) และคลอไรด์ (Cl) ในรูปไอออนสูงมาก
  3. ใส่ปุ๋ยเคมีอัตราสูงเกินไป หรือใส่ปุ๋ยไม่ทั่วถึง ไม่สม่ำเสมอ ทำให้บริเวณที่พืชได้รับปุ๋ยมากเกินไปจนเป็นพิษกับพืชได้

 

ลักษณะอาการความเป็นพิษของธาตุอาหารต่อพืช

                ปกติธาตุหลักมักจะไม่แสดงอาการเป็นพิษ เพราะพืชต้องการมาก ยกเว้นมีการใส่ธาตุอาหารนั้นๆมากเกินความจำเป็น

-พืชที่ได้รับไนโตรเจน(N) มากเกิน ใบพืชจะมีสีเขียวเข้ม ใบและกิ่งก้านอวบใหญ่มากเกินทำให้เปราะหักได้ง่าย พืชมักจะไม่ออกดอกออกผลและอ่อนแอต่อโรคและแมลง

-พืชได้รับฟอสฟอรัส(P) มากเกิน ใบอ่อนจะมีสีเหลืองระหว่างเส้นใบ ขอบใบแห้ง พืชมักจะแสดงอาการเครียดอ่อนแอต่อโรค

-พืชได้รับโพแทสเซียม(K) มากเกิน มักจะแสดงอาการขาดธาตุอื่นๆเช่น แคลเซียม แมกนีเซียมเป็นต้น

สำหรับธาตุรอง อย่างแคลเซียม(Ca) แมกนีเซียม(Mg) และกำมะถัน(S) เมื่อพืชได้รับแคลเซียมมากเกินมักจะแสดงอาการขาดโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ในทางกลับกันถ้าพืชได้รับแมกนีเซียมมากเกินจะทำให้แสดงอาการขาดโพแทสเซียมและแคลเซียม ส่วนกำมะถันถ้าพืชได้รับมากเกินจะทำให้เกิดการยับยั้งการสังเคราะห์แสงและโครงสร้างของคลอโรฟิลล์ในพืชสูญเสียไป

ส่วนธาตุอาหารเสริม 7 ธาตุ คือ เหล็ก(Fe) แมงกานีส(Mn) โบรอน(B) โมลิบดินัม(Mo) ทองแดง(Cu) สังกะสี(Zn) คลอรีน(Cl) เรามักจะพบการเป็นพิษของธาตุอาหารเสริมได้ง่ายกว่าธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรอง เพราะพืชต้องการน้อยถ้าดินมีความเป็นกรดด่าง(pH) ที่ผิดปกติหรือมีการใส่ให้กับพืชมากเกินจำเป็น อาการเป็นพิษของพืชจะแสดงดังตารางข้างล่างนี้

ชนิดธาตุอาหารเสริม ปัจจัยที่ทำให้ธาตุเสริมเป็นพิษ อาการแสดงที่เป็นพิษในพืช
โบรอน(B) ใส่ในอัตรามากเกินไป ใบซีดจางและแห้งตายที่ปลายใบและขอบใบ
ทองแดง(Cu) มีปนเปื้อนอยู่ในดินและใส่มากเกินไป ใบซีดจางแลแห้งตายที่ใบแก่และยับยั้งการแผ่ขยายของรากพืช
คลอรีน(Cl) ดินชายฝั่งทะเลที่ระบายน้ำไม่ดีและเขตพื้นที่ดินเค็ม ใบไหม้กรอบและยับยั้งการเจริญเติบโต
เหล็ก(Fe) ดินที่ลุ่มมีน้ำขัง ใบข้างมีสีเหลืองแดงและพืชอื่นๆใบจะมีสีม่วง
แมงกานีส(Mn) ดินที่ลุ่มมีน้ำขัง มีจุดสีน้ำตาลที่เส้นใบ ใบแห้งตายจากปลายใบและขอบใบ ใบม้วนงอหยิกเป็นคลื่น
โมลิบดินัม(Mo) ใส่ปูนเพื่อเพิ่ม pH มากเกินไป ทำให้โมลิบดินัมละลายได้ดี ใบพืชมีสีเหลืองทองถึงเหลืองส้มบางที่เป็นสีม่วง ข้อปล้องของพืชสั้นผิดปกติ
สังกะสี(Zn) พืชที่ปลูกในเรือนกระจกหรือใต้หลังคา ไม่ค่อยพบอาการ อาการเป็นพิษจะคล้ายๆกับอาการขาดธาตุเหล็กและแมงกานีส

จาก Table 3-21 หน้า 122 Soil Fertility Kit

เอกสารอ้างอิง

ยงยุทธ โอสถสภา, อรรถศิษฐ์ วงศ์มณีโรจน์, ชวลิต ฮงประยูร ปุ๋ยเพื่อการเกษตรยั่งยืน สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2551 กรุงเทพฯ (519 หน้า)

ยงยุทธ โอสถสภา ธาตุอาหารพืช สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2543 กรุงเทพฯ (424 หน้า)

Thomas Dierolf, Thomas Fairhurst and Ernst Mutert Soil Fertilizer Kit Printed by Oxford Graphic Printers, 2001 (149 pp)